เปรียบเทียบการจ้างบริษัทออกแบบภายในกับผู้รับเหมาทั่วไป เลือกใครให้จบ สวย ไม่บานปลาย

บริษัทออกแบบภายใน vs ผู้รับเหมาทั่วไป ข้อแตกต่างที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจ
การมีบ้าน คอนโด หรือออฟฟิศที่สวยงาม สะท้อนตัวตน และตอบโจทย์การใช้งาน ถือเป็นความฝันของใครหลายคน แต่ก้าวแรกสู่การเนรมิตพื้นที่ในฝันนั้นมักเริ่มต้นด้วยคำถามใหญ่ที่น่าปวดหัวเสมอ: "เราควรจ้างใครดี ระหว่าง บริษัทออกแบบภายใน (Interior Design Company) กับ ผู้รับเหมาทั่วไป?"
หลายคนอาจคิดว่าสองทางเลือกนี้คล้ายคลึงกัน หรือคิดว่าการจ้างผู้รับเหมาโดยตรงจะช่วยประหยัดงบได้มากกว่า แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองฝ่ายมีขอบเขตความรับผิดชอบ ความเชี่ยวชาญ และกระบวนการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในขั้นตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณได้พื้นที่ที่ไม่ "ตรงปก" แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหางบประมาณบานปลาย การแก้ไขงานซ้ำซ้อน และความเครียดที่ไม่จำเป็น
บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุม เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนว่า "บริษัทออกแบบภายใน" และ "ผู้รับเหมาทั่วไป" แตกต่างกันอย่างไร ใครเหมาะกับงานลักษณะไหน และที่สำคัญที่สุด... คุณควรเลือกใคร เพื่อให้ "บ้านในฝัน" ของคุณเสร็จสมบูรณ์อย่างสวยงาม ลงตัว และ "จบ" ภายในงบประมาณที่กำหนดไว้
"สมอง" กับ "กล้ามเนื้อ" - นิยามที่แตกต่าง
ก่อนจะไปเปรียบเทียบในรายละเอียด เราต้องเข้าใจบทบาทและหน้าที่หลัก (Core Function) ของทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจนก่อน
บริษัทออกแบบภายใน ผู้วางกลยุทธ์พื้นที่
ถ้าเปรียบการตกแต่งภายในเป็นการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะชิ้นเอก บริษัทออกแบบภายใน ก็คือ "ศิลปิน" หรือ "สถาปนิก" ผู้ออกแบบและวางแผนทั้งหมด พวกเขาไม่ได้มองแค่ว่า "จะวางโซฟาไว้ตรงไหน" แต่มองลึกไปถึง "จิตวิญญาณ" ของพื้นที่
- เน้นการออกแบบและฟังก์ชัน (Design & Function): หัวใจของพวกเขาคือการสร้างสมดุลระหว่างความงาม (Aesthetics) และการใช้งานจริง (Function) พวกเขาจะวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle) ของคุณ เพื่อออกแบบพื้นที่ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- วางแผนพื้นที่ (Space Planning): เชี่ยวชาญในการจัดสรรพื้นที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก้ปัญหาพื้นที่ เช่น แสงน้อย ห้องแคบ หรือการจัดเก็บไม่เพียงพอ
- คุม Mood & Tone: สร้างบรรยากาศที่คุณต้องการผ่านการเลือกใช้สี วัสดุ แสงไฟ และเฟอร์นิเจอร์
- ผลลัพธ์ที่ได้: แบบร่าง (Sketches), ภาพ 3D เสมือนจริง, Mood Board, แบบแปลนรายละเอียด (Detailed Drawings) และ รายการประมาณการค่าใช้จ่าย (BOQ) ที่ชัดเจน
ผู้รับเหมาทั่วไป ผู้ลงมือปฏิบัติ
ในทางกลับกัน ผู้รับเหมาทั่วไป คือ "ผู้สร้าง" หรือ "นายช่าง" ที่มีความเชี่ยวชาญในการลงมือ "ก่อสร้าง" หรือ "ติดตั้ง" พวกเขาคือผู้ที่แปลงแบบแปลนบนกระดาษให้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้
- เน้นการก่อสร้างและติดตั้ง: หัวใจของพวกเขาคือความสามารถในการบริหารจัดการ "หน้างาน"
- ความเชี่ยวชาญ: ส่วนใหญ่มักเชี่ยวชาญงานโครงสร้าง (Structural) เช่น ก่อ, ฉาบ, เทพื้น หรืองานระบบพื้นฐาน (ไฟฟ้า, ประปา) พวกเขาเก่งในการ "ซ่อม" และ "สร้าง" ตามแบบ
- การบริหารจัดการ: ดูแลทีมช่างหลายฝ่าย (ช่างปูน, ช่างไฟ, ช่างสี) และสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างพื้นฐาน
- ผลลัพธ์ที่ได้: ตัวอาคารหรือห้องที่ถูกสร้างขึ้นตามแบบที่คุณ (หรือดีไซเนอร์) สั่ง
เจาะลึก 7 ข้อแตกต่างสำคัญ ที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ
เมื่อเข้าใจบทบาทหลักแล้ว เรามาเจาะลึกถึงความแตกต่างในกระบวนการทำงานจริง ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพงาน งบประมาณ และเวลาของคุณ
1. จุดเริ่มต้น: "ทำไม" ปะทะ "อะไร"
- บริษัทออกแบบภายใน : เริ่มต้นด้วยคำถามว่า "ทำไม" "ทำไมคุณถึงอยากได้ห้องแบบนี้?", "คุณใช้ชีวิตในพื้นที่นี้อย่างไร?", "คุณรู้สึกอย่างไรเมื่ออยู่ในห้องนี้?" พวกเขาจะล้วงลึกถึงความต้องการที่แท้จริงของคุณก่อนจะเริ่มออกแบบ
- ผู้รับเหมาทั่วไป: เริ่มต้นด้วยคำถามว่า "อะไร" "คุณจะทำอะไรบ้าง?", "แบบอยู่ไหน?", "จะใช้กระเบื้องลายไหน?" พวกเขาต้องการ "คำสั่ง" ที่ชัดเจนเพื่อเริ่มทำงาน หากคุณไม่มีแบบที่ชัดเจน พวกเขามักจะทำตาม "ความคุ้นเคย" หรือ "แบบมาตรฐาน" ที่เคยทำมา
2. การออกแบบและฟังก์ชัน
นี่คือจุดตัดที่ชัดเจนที่สุด
- บริษัทออกแบบภายใน: คือขุมพลังแห่งการ "Customization" พวกเขาเชี่ยวชาญการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่พอดีกับพื้นที่ของคุณ สามารถแก้ปัญหาที่ยาก เช่น การซ่อนเสากลางห้อง การเพิ่มพื้นที่เก็บของในคอนโดขนาดเล็ก หรือการออกแบบแสงสว่าง (Lighting Design) ที่ซับซ้อนเพื่อสร้างบรรยากาศ
- ผู้รับเหมาทั่วไป: มักถนัดงานที่ "จบในตัว" เช่น การปูกระเบื้องใหม่ ทาสี หรือติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวที่ซื้อมา หากคุณต้องการงาน Built-in ที่ซับซ้อน ผู้รับเหมาทั่วไปอาจทำได้ แต่ "ความเนี๊ยบ" (Finishing) และ "ความเข้าใจในดีไซน์" (Design Detail) มักจะเทียบกับบริษัทที่เชี่ยวชาญโดยตรงไม่ได้
3. การควบคุมงบประมาณ
หลายคนเข้าใจผิดว่าการจ้างผู้รับเหมาโดยตรงจะ "ถูกกว่า" แต่ในความเป็นจริง นี่คือจุดที่เกิด "งบประมาณบานปลาย" มากที่สุด
- บริษัทออกแบบภายใน: กระบวนการทำงานที่เป็นระบบจะช่วย "ล็อคงบ" ให้คุณตั้งแต่ต้น พวกเขาจะออกแบบและเลือกวัสดุให้อยู่ในงบที่คุณกำหนด จากนั้นจึงจัดทำ BOQ (Bill of Quantities) ซึ่งเป็นเอกสารที่ระบุรายละเอียดวัสดุและค่าแรงทุกอย่าง "อย่างละเอียด" ทำให้คุณรู้ตัวเลขที่ชัดเจนก่อนเริ่มงาน และป้องกันการ "บวกเพิ่ม" ทีหลัง
- ผู้รับเหมาทั่วไป: มักเสนอราคาเป็น "ราคารวมเหมา" (Lump Sum) หรือการประมาณการคร่าวๆ ซึ่งฟังดูถูกในตอนแรก แต่เมื่อเริ่มทำงานจริง มักจะเจอปัญหา "อันนี้ไม่ได้รวม" "ต้องเพิ่มตัวนั้น" หรือ "ของที่เสนอไปหมด ต้องเปลี่ยนเป็นตัวที่แพงกว่า" ทำให้งบของคุณไหลไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดสิ้นสุด
4. การประสานงานและความรับผิดชอบ
- บริษัทออกแบบภายใน (แบบ Turnkey): ทำหน้าที่เป็น "ผู้จัดการโครงการ" (Project Manager) ให้คุณ พวกเขาคือ One Point of Contact คุณคุยกับคนเดียว (ดีไซเนอร์หรือผู้ควบคุมโครงการ) แล้วพวกเขาจะไปจัดการประสานงานกับช่างทุกฝ่าย (ช่างไม้, ช่างไฟ, ช่างสี, ทีม Built-in) ให้เอง หากเกิดปัญหาหน้างาน พวกเขาคือผู้รับผิดชอบในการแก้ไข
- ผู้รับเหมาทั่วไป: คุณมักจะต้องรับบทเป็นผู้จัดการโครงการเอง คุณต้องคุยกับผู้รับเหมาหลัก แล้วอาจจะต้องคุยกับช่างแอร์ ช่างผ้าม่าน หรือช่าง Built-in (หากจ้างแยก) เอง เมื่อเกิดปัญหา เช่น ช่างไฟเดินไฟผิดตำแหน่งที่ทีม Built-in จะติดตั้ง ก็จะเกิดการ "โยนความผิด" กันไปมา ทำให้งานสะดุดและล่าช้า
5. คุณภาพวัสดุและความ ตรงปก
- บริษัทออกแบบภายใน: มีหน้าที่ "เลือก" และ "คุม" วัสดุ พวกเขามีความรู้เรื่องคุณสมบัติของวัสดุที่ลึกซึ้ง (เช่น ไม้อัดเกรดไหนเหมาะกับงานอะไร, ฟิตติ้ง (Fitting) ยี่ห้อไหนทนทาน) และจะทำให้แน่ใจว่าวัสดุที่ใช้หน้างาน "ตรง" กับที่ระบุในแบบและ BOQ ทำให้ผลลัพธ์สุดท้าย "ตรงปก" ตามภาพ 3D ที่คุณเห็น
- ผู้รับเหมาทั่วไป: หากไม่มีแบบที่ระบุวัสดุอย่างชัดเจน พวกเขาอาจเลือกวัสดุ "เกรดทดแทน" ที่ราคาถูกกว่าเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น หรือเลือกวัสดุที่ไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งคุณอาจไม่รู้ตัวจนกระทั่งใช้งานไปแล้วเกิดปัญหา
6. การแก้ปัญหาหน้างาน
- บริษัทออกแบบภายใน: เนื่องจากเป็นผู้ออกแบบเอง เมื่อเจอปัญหาหน้างาน (เช่น ผนังจริงไม่ตรงตามแบบแปลนเดิม) พวกเขาสามารถ "คิด" และ "ปรับ" ดีไซน์หน้างานได้ทันที เพื่อให้ยังคงความสวยงามและฟังก์ชันไว้ได้ โดยไม่ต้องหยุดงานรอการตัดสินใจจากคุณ
- ผู้รับเหมาทั่วไป: เมื่อเจอปัญหา พวกเขามักจะ "หยุด" และ "ถาม" คุณว่าจะแก้ยังไง ซึ่งหากคุณไม่มีความรู้เชิงช่าง ก็อาจตัดสินใจผิดพลาด หรือพวกเขาอาจเสนอวิธีแก้ที่ "ง่าย" ที่สุดสำหรับเขา แต่อาจทำลายดีไซน์โดยรวม
7. ทางเลือกที่ 3: บริการครบวงจร
นี่คือจุดที่สำคัญที่สุด บริษัทออกแบบภายในหลายแห่งในปัจจุบัน ไม่ได้ทำแค่ "ออกแบบ" แต่ยังมี "ทีมรับเหมา" และ "โรงงานผลิต Built-in" เป็นของตัวเอง นี่คือการรวมข้อดีของ "สมอง" และ "กล้ามเนื้อ" ไว้ในที่เดียว
- บริษัทออกแบบภายใน (แบบ Turnkey): คือผู้ให้บริการที่รับผิดชอบตั้งแต่ 0 ถึง 100 ตั้งแต่การพูดคุยรับบรีฟ, ออกแบบ 3D, จัดทำ BOQ, ผลิตเฟอร์นิเจอร์ Built-in, เข้าดำเนินการก่อสร้างตกแต่ง, ไปจนถึงการรับประกันผลงาน
- ข้อดีคือ: กระบวนการไร้รอยต่อ (Seamless) ทีมออกแบบและทีมก่อสร้างคือทีมเดียวกัน คุยภาษาเดียวกัน ลดข้อผิดพลาดในการสื่อสาร งบไม่บานปลาย และคุณได้ผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนเพียงรายเดียว
สถานการณ์ไหนควรเลือกใคร?
เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ลองดู Checklist นี้
เลือก "ผู้รับเหมาทั่วไป" เมื่อ...
- คุณมีแบบแปลนที่ชัดเจนอยู่แล้ว: คุณจ้างสถาปนิกหรือดีไซเนอร์ออกแบบให้เสร็จแล้ว 100% (มีแบบรายละเอียดและ BOQ ครบถ้วน) และต้องการแค่ "ทีมช่าง" ที่ไว้ใจได้มาสร้างตามแบบ
- งานไม่ซับซ้อน: เป็นงานซ่อมแซม หรืองานรีโนเวทเล็กน้อยที่ไม่เน้นดีไซน์ เช่น ทาสีใหม่, ปูกระเบื้องใหม่, เปลี่ยนสุขภัณฑ์, ต่อเติมครัวด้านนอก
- คุณมีเวลาคุมงานเอง: คุณมีความรู้เรื่องช่างพอสมควร และมีเวลาว่างไป "เฝ้าหน้างาน" เพื่อตัดสินใจและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
- งบประมาณจำกัดมาก: คุณยอมรับความเสี่ยงเรื่องดีไซน์และความเนี๊ยบ เพื่อให้ได้ราคาค่าแรงที่ถูกที่สุด (ซึ่งมักไม่รวมค่าออกแบบ)
เลือก "บริษัทออกแบบภายใน" (โดยเฉพาะแบบ Turnkey) เมื่อ...
- คุณต้องการความ "ตรงปก": คุณอยากเห็นภาพ 3D ก่อนว่าห้องจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร และต้องการให้ผลลัพธ์จริงเหมือนในภาพนั้น 100%
- คุณต้องการดีไซน์ที่ตอบโจทย์ (Customized): คุณมีปัญหาพื้นที่ (ห้องเล็ก, แสงน้อย) หรือต้องการดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว, งาน Built-in ที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ
- คุณต้องการความสะดวกสบาย: คุณไม่มีเวลาคุมงาน, ไม่มีประสบการณ์เรื่องช่าง และต้องการ "ผู้เชี่ยวชาญ" มาจัดการทุกอย่างแทนคุณตั้งแต่ต้นจนจบ (One Stop Service)
- คุณต้องการควบคุมงบประมาณ: คุณต้องการความชัดเจนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน ไม่ต้องการเจอปัญหา "งบบานปลาย" ทีหลัง
- คุณทำงานขนาดใหญ่: เช่น ตกแต่งบ้านใหม่ทั้งหลัง, รีโนเวทคอนโดใหม่ทั้งหมด, หรือออกแบบออฟฟิศ/ร้านค้า ที่ต้องการความน่าเชื่อถือและการรับประกัน
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับ บริษัทออกแบบภายใน
Q1: บริษัทออกแบบภายใน ทำอะไรบ้าง? ขอบเขตงานมีแค่ไหน?
A1: โดยทั่วไป บริษัทออกแบบภายในจะรับผิดชอบตั้งแต่การพูดคุยรับความต้องการ (Brief), การสำรวจพื้นที่, การวางผังพื้นที่ (Layout), การออกแบบคอนเซปต์ (Mood & Tone), การทำภาพ 3D เสมือนจริง, การเลือกวัสดุ, การเขียนแบบรายละเอียดสำหรับก่อสร้าง, การจัดทำ BOQ (ประเมินราคา) และหากเป็นบริการแบบ Turnkey (อย่างที่ พระนคร เดคคอเรท ให้บริการ) ก็จะรวมถึงการดำเนินการก่อสร้าง, ควบคุมงานช่าง, ผลิตและติดตั้ง Built-in จนจบงานและส่งมอบให้ลูกค้าครับ
Q2: จ้างบริษัทออกแบบภายใน แพงกว่าจ้างผู้รับเหมาทั่วไปจริงหรือ?
A2: หากมองแค่ "ตัวเลขเริ่มต้น" ค่าใช้จ่ายอาจดูสูงกว่า เพราะรวมค่าออกแบบ (Design Fee) เข้าไปด้วย แต่ในระยะยาว การจ้างบริษัทออกแบบภายในมักจะ "คุ้มค่ากว่า" และ "ถูกกว่า" ครับ เพราะ:
- ป้องกันงบบานปลาย: การมี BOQ ที่ชัดเจนช่วยล็อคงบประมาณไม่ให้ไหลไปเรื่อยๆ เหมือนการจ้างผู้รับเหมาที่เสนอราคาคร่าวๆ
- ลดการแก้ไข: การเห็นภาพ 3D ก่อนช่วยให้คุณตัดสินใจได้จบตั้งแต่แรก ลดการ "ทุบ" หรือ "แก้" หน้างาน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
- ได้ฟังก์ชันที่คุ้มค่า: ดีไซเนอร์ช่วยคุณใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วอย่างคุ้มค่า ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้บ้านในระยะยาว
Q3: BOQ (Bill of Quantities) คืออะไร และทำไมจึงสำคัญมาก?
A3: BOQ คือ "ใบแสดงรายการวัสดุและค่าใช้จ่าย" ที่ละเอียดที่สุด เปรียบเสมือน "คัมภีร์" ของการก่อสร้าง ในนั้นจะระบุทุกอย่างตั้งแต่ยี่ห้อบานพับ, ชนิดของไม้, เกรดของสี, จำนวนปลั๊กไฟ, ไปจนถึงค่าแรงในแต่ละจุด มันสำคัญมากเพราะเป็นเอกสารที่ใช้ "คุมงบ" และ "คุมสเปค" วัสดุ ทำให้เจ้าของบ้านมั่นใจได้ว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง และได้ของตรงตามที่ตกลงกันไว้ 100%
Q4: บริษัทออกแบบภายใน รับงานเล็กๆ เช่น ตกแต่งคอนโด 1 ห้องนอน หรือไม่?
A4: รับครับ หลายบริษัท (รวมถึง พระนคร เดคคอเรท) ยินดีให้บริการไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กอย่างคอนโด หรือโครงการขนาดใหญ่อย่างบ้านเดี่ยวหรือออฟฟิศ เพราะความท้าทายของงานคอนโดคือการ "ออกแบบพื้นที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด" ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทออกแบบภายในเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
Q5: ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ก่อนไปคุยกับบริษัทออกแบบภายในครั้งแรก?
A5: การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การพูดคุยราบรื่นมากครับ:
- งบประมาณ (Budget): ควรกำหนดงบประมาณคร่าวๆ ในใจที่คุณรับไหว
- ความต้องการ (Needs): ลิสต์ฟังก์ชันการใช้งานหลักๆ เช่น "ต้องการที่เก็บของเยอะ", "อยากได้ครัวสำหรับทำอาหารจริงจัง", "ทำงานที่บ้าน 2 คน"
- สไตล์ (Style): รวบรวม "ภาพตัวอย่าง" (Inspiration) ที่คุณชอบ (เช่น จาก Pinterest, Instagram) เพื่อให้ดีไซเนอร์เข้าใจ Mood & Tone ที่คุณต้องการได้ง่ายขึ้นครับ
ทำไม พระนคร เดคคอเรท (Pranakorn Decorate) คือคำตอบที่ใช่?
ที่ พระนคร เดคคอเรท เราเข้าใจความกังวลและความซับซ้อนในการสร้างพื้นที่ในฝันของคุณ เราจึงไม่ได้เป็นแค่ "บริษัทออกแบบภายใน" หรือ "ผู้รับเหมา" แต่เราคือ ผู้ให้บริการออกแบบและตกแต่งภายในครบวงจร (One Stop Service) ที่ผสานจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายเข้าไว้ด้วยกัน
เราคือทางออกสำหรับคนที่ไม่อยาก "เลือก" ระหว่างดีไซน์กับการก่อสร้าง เพราะเรา "ทำทั้งสองอย่าง"
- เราคือดีไซเนอร์ (The "Brain"): เรามีทีมนักออกแบบมืออาชีพที่จะพูดคุย รับฟัง และเปลี่ยนความต้องการของคุณให้กลายเป็นภาพ 3D ที่สวยงามและใช้งานได้จริง
- เราคือผู้รับเหมา (The "Muscle"): เรามีทีมช่างและผู้ควบคุมงานของเราเอง (ไม่ใช่การจ้าง Sub-contract ต่อ) ที่จะเปลี่ยนแบบ 3D นั้นให้เป็นความจริง
- เราคือผู้ผลิต (The "Craftsman"): เราเชี่ยวชาญและมีโรงงานสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ Built-in โดยเฉพาะ มั่นใจได้ในคุณภาพวัสดุ ความแข็งแรง และความสวยงาม
- เราคือผู้ควบคุมงบประมาณ (The "Manager"): เรานำเสนอ BOQ ที่ชัดเจน ไม่หมกเม็ด ช่วยให้คุณคุมงบประมาณได้จริง ไม่บานปลาย
การเลือก พระนคร เดคคอเรท หมายความว่าคุณเลือกความสบายใจ เลือกความรับผิดชอบที่เป็นหนึ่งเดียว และเลือกผลลัพธ์ที่ "จบ สวย ตรงปก" ตั้งแต่การออกแบบบ้าน คอนโด ไปจนถึงออฟฟิศและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปี
อย่าปล่อยให้การตัดสินใจที่ยากลำบากมาขวางกั้นพื้นที่ในฝันของคุณ ติดต่อเราเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี ให้เราช่วยดูแลทุกขั้นตอนให้คุณเอง
สนใจปรึกษาเรื่อง บิ้วอินห้องนอน ออกแบบภายใน กับทีมงานมืออาชีพ
ติดต่อ พระนคร เดคคอเรท จำกัด ได้ทุกช่องทาง
761 ถ.พระรามที่ 2 ซอย 11 แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพฯ 10150
Email: pranakorndec@gmail.com
เบอร์โทร: 099 619 6789


